ม.นราฯจัดอบรมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนและขับเคลื่อนนโยบายภาคเครือข่ายระดับท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์บทเรียนสู่การพัฒนาสอดคล้องกับบริบทพื้นที่นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
นราธิวาส/ข่าว-ฮามีดะห์
ม.นราฯจัดอบรมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนและขับเคลื่อนนโยบายภาคเครือข่ายระดับท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์บทเรียนสู่การพัฒนาสอดคล้องกับบริบทพื้นที่นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
วันนี้ (28 พฤษภาคม 2568) ที่ห้องประชุมธารพลอย สวนอาหารริมน้ำ ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส นายวีรพัฒน์ บุณฑริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนและขับเคลื่อนนโยบายภาคเครือข่ายระดับท้องถิ่น 6 อำเภอ ภายใต้โครงการวิจัยการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจชายแดนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนจังหวัดยะลาและนราธิวาส โดยมีรศ.ดร.วสันต์ พลาศัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ คณะผู้บริหาร คณาจารย์ ผู้ประกอบการด้านการค้าชายแดน ภาคีเครือข่ายด้านเศรษฐกิจ ภาคีเครือข่ายด้านการเรียนรู้และการศึกษา ภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ ตลอดจน หน่วยงานบูรณาการและสนับสนุนเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้
สำหรับพื้นที่ชายแดนจังหวัดยะลาและนราธิวาสมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงประเทศไทยกับมาเลเซียและภูมิภาคอาเซียนตอนใต้ โดยเฉพาะในอำเภอชายแดนสำคัญทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ตากใบ สุไหงโกลก สุคิริน แว้ง เมืองนราธิวาส และเบตง ซึ่งมีความโดดเด่นในศักยภาพทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจและยกระดับความมั่นคงและคุณภาพชีวิตเมืองชายแดนจังหวัดยะลาและนราธิวาส ได้ดำเนินการพัฒนาใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเรียนรู้และการศึกษา และด้านสุขภาพ โดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
โดยการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจชายแดนให้เกิดความยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายระดับท้องถิ่นและผู้ประกอบการด้านการค้าชายแดน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “ถอดบทเรียนและขับเคลื่อนนโยบาย: ระเบียงเศรษฐกิจชายแดนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนจังหวัดยะลาและนราธิวาส” จึงเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บทเรียน และข้อค้นพบจากการดำเนินงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ตอบสนองต่อความ ต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง
โดยการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาค ประชาสังคม และชุมชนในพื้นที่ 6 อำเภอชายแดน เพื่อร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ ถอดบทเรียนความสำเร็จและ ความท้าทาย ตลอดจนพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจชายแดนอย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยคำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจ การศึกษา และสุขภาพที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และวิถีชีวิตของ ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้านรศ.ดร.วสันต์ พลาศัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราช กล่าวว่าตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมา เราได้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกหลายประการ ในมิติด้าน สุขภาพ เราได้พัฒนาระบบการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย NCDs ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน โดยมีคะแนนความพึงพอใจอยู่ในระดับมากในมิติด้านการเรียนรู้ การพัฒนา ทักษะการสื่อสารและการตลาดดิจิทัลในพื้นที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม และในมิติด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมีความหลากหลายตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ไทย-มาเลเซียยังได้ชี้ให้เห็นศักยภาพที่สำคัญหลายด้าน อย่างไรก็ตามเราก็ต้องยอมรับว่ายังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ จากผลการศึกษาพบว่าประชากรยังเผชิญปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ยังชัดเจน และการ ใช้ประโยชน์จากการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ยังไม่เต็มศักยภาพ
โดยคาดหวังว่าผลจากการอบรมวันนี้จะนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมและ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาที่เราพบจากการศึกษา ได้แก่ การพัฒนา ระบบสุขภาพที่มุ่งเน้นการป้องกันและดูแล NCDs อย่างเป็นระบบ การลดความเหลื่อมล้ำทางการ ศึกษาผ่านการพัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ จากสถานะเขตเศรษฐกิจพิเศษ นอกจากนี้ ควรมีกลไกการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งกับมาเลเซีย โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน สำหรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจในอนาคตเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพและความมุ่งมั่นของทุกฝ่าย เราจะสามารถสร้างระเบียงเศรษฐกิจชายแดนที่เข้มแข็ง ยั่งยืน และนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาสต่อไป