เจ้าอาวาสวัดเกาะเสือเครียด ตั้งทนายแถลงข่าวแทน – ยอมรับผิด ขอขมาต่อสังคม เหตุทำโทษพระเพราะเป็นหลานในปกครอง
เจ้าอาวาสวัดเกาะเสือเครียด ตั้งทนายแถลงข่าวแทน – ยอมรับผิด ขอขมาต่อสังคม เหตุทำโทษพระเพราะเป็นหลานในปกครอง
วันที่ 19 กันยายน 2568 บรรยากาศภายในห้องประชุม ที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เต็มไปด้วยสื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมฟังการแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปวิดีโอ “เจ้าอาวาสวัดเกาะเสือทำโทษพระสงฆ์” ซึ่งถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ และสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ นำโดย นายจักริน พวงรัตน์ หัวหน้าทีมทนายความของเจ้าอาวาสวัดเกาะเสือ พร้อมทีมงานและตัวแทนชาวบ้าน โดยมีพระจากวัดต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา รวมถึงศิษยานุศิษย์จำนวนมากมาร่วมสังเกตการณ์และให้กำลังใจ เนื่องจากเจ้าอาวาสเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญและได้รับความนับถือมายาวนาน
นายจักริน แถลงชี้แจงว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏในคลิป เป็นการกระทำที่เกิดจากความโกรธชั่ววูบของเจ้าอาวาส ซึ่งได้ตักเตือนพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งเป็น “หลานในปกครอง” มิใช่พระรูปอื่น ๆ แต่อย่างใด ทั้งนี้ เจ้าอาวาสได้ตระหนักถึงความผิดพลาดและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมฝากคำขอขมาต่อพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ชาวสงขลา รวมทั้งชาวบ้านที่วัดเกาะเสือ ทำให้เจ้าอาวาสไม่สามารถมาร่วมแถลงข่าวด้วยตนเองได้ เนื่องจากเกิดความเครียดและสภาพจิตใจย่ำแย่หลังจากเหตุการณ์นี้ แต่ท่านได้ฝากความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาก็เข้มงวดขวดขันด้านความประพฤติ โดยเฉพาะการเกี่ยวข้องกับสารเสพติดอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้จะเข้มงวดให้ขาวสะอาดมากยิ่งขึ้น
ในประเด็นด้านกฎหมาย ทนายความยืนยันว่า เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม หากศาลหรือเจ้าหน้าที่รัฐมีคำตัดสินอย่างไร เจ้าอาวาสก็พร้อมยอมรับและปฏิบัติตามโดยไม่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบต่อความศรัทธาของประชาชน นายจักรินย้ำว่า ชาวบ้านและศิษยานุศิษย์ส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนและศรัทธาในตัวเจ้าอาวาสเหมือนเดิม เนื่องจากเข้าใจข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากความโกรธที่มีต่อหลานในปกครอง ไม่ใช่การกระทำที่สะท้อนถึงความรุนแรงต่อพระรูปอื่น ๆ ที่ท่านยังคงดูแลด้วยความเมตตา
ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมฟังแถลงข่าววันนี้ แสดงความคิดเห็นว่า รู้จักพระเบียร์มาตั้งแต่ปี 2545 ก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นเจ้าอาวาส และเห็นมาตลอดว่าพระเบียร์เป็นพระที่ดูแลพระลูกวัด ญาติโยม และเด็ก ๆ ที่ขาดโอกาสอย่างใกล้ชิด ใครเดือดร้อนเรื่องค่าเช่าบ้าน ท่านก็ช่วย ใครไม่มีทุนเรียน ท่านก็หยิบยื่นให้ ท่านดูแลทุกคน ไม่เฉพาะลูกวัดหรือญาติโยมบางคน
ผู้ให้สัมภาษณ์ยังชี้ว่า พระเบียร์เป็นพระที่ เข้มงวดเรื่องวินัยและสารเสพติด “ทุกเช้าหลังฉันภัตตาหารเสร็จ พระทุกองค์ต้องมาช่วยกันทำความสะอาดวัด กวาดใบไม้ ถูพื้น เก็บของเรียบร้อย ถึงจะมีภารกิจส่วนตัวก็ต้องมาช่วย ท่านเข้มงวดมากเรื่องนี้
สำหรับคลิปที่เผยแพร่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว และไม่คิดว่าจะถูกนำมาเป็นกระแสในขณะนี้ “ท่านไม่ใช่พระใจร้าย เหตุการณ์เกิดจากบันดาลโทสะกับพระลูกวัดที่เปรียบเหมือนหลาน แต่โดยปกติท่านดูแลทุกคน ใส่ใจทั้งพระในวัดและญาติโยมมาตลอด”
นอกจากนี้ ศิษยานุศิษย์รายนี้ ยังย้ำว่า พระเบียร์เป็นพระที่น่ารัก เข้าใจปัญหาของชาวบ้านและพระลูกวัด พร้อมให้คำแนะนำและช่วยคลายความกังวลในทุกสถานการณ์ ทำให้ชาวบ้านและศิษยานุศิษย์ยังคงศรัทธาและมั่นใจว่าพระเบียร์จะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว บรรยากาศภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยเสียงให้กำลังใจจากชาวบ้านและศิษยานุศิษย์ที่พร้อมใจกันตะโกนว่า “พระเบียร์ สู้ ๆ… พระเบียร์ สู้ ๆ… พระเบียร์ สู้ ๆ…” เพื่อแสดงพลังศรัทธาและกำลังใจต่อเจ้าอาวาสวัดเกาะเสือ
และกรณีที่เจ้าอาวาสทำร้ายพระลูกวัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องคำพิพากษารอลงอาญา เจ้าอาวาสผู้นั้นจะต้องถูกปลดและสึกจากความเป็นพระอย่างแน่นอน เนื่องจากความผิดดังกล่าวถือเป็นความผิดร้ายแรงทั้งในทางกฎหมายและพระธรรมวินัย
ความผิดทางกฎหมาย คำพิพากษาให้จำคุกโดยรอการลงโทษ (รอลงอาญา) ไม่ได้หมายความว่าผู้กระทำผิดพ้นจากความผิด แต่หมายถึงศาลได้ตัดสินแล้วว่ามีความผิดจริงตามกฎหมายอาญา ข้อหาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งถือเป็น คดีอาญาที่มีโทษรุนแรง
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แก้ไขเพิ่มเติม) ได้ระบุไว้ว่า หากพระภิกษุต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดอาญาแผ่นดิน ถือว่าพระภิกษุรูปนั้นมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในสมณเพศ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลสั่งจำคุกจริง
ดังนั้น การที่เจ้าอาวาสต้องคำพิพากษาของศาลในคดีอาญา ถือเป็นเหตุผลทางกฎหมายที่เพียงพอสำหรับการพิจารณาให้พ้นจากความเป็นพระ
ความผิดทางพระธรรมวินัย
การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือเป็นการประพฤติที่ผิดอย่างร้ายแรงต่อหลัก พระธรรมวินัย และ ศีล 227 ข้อ ของพระภิกษุสงฆ์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเป็นการกระทำต่อพระภิกษุด้วยกันเอง
แม้ว่าการทำร้ายร่างกายจะไม่ได้เข้าข่ายอาบัติปาราชิก (ขาดจากความเป็นพระทันที) แต่ก็ถือเป็นความผิดขั้น โลกวัชชะ ซึ่งเป็นความผิดที่โลกติเตียนและคณะสงฆ์สามารถพิจารณาลงโทษได้
เมื่อคณะสงฆ์โดยผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น (เช่น เจ้าคณะตำบล, เจ้าคณะอำเภอ) ได้รับทราบเรื่องและเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าว เป็นโลกวัชชะที่ร้ายแรง และส่งผลกระทบต่อความเสื่อมเสียของพระพุทธศาสนา ก็มีอำนาจในการสั่งให้เจ้าอาวาสรูปนั้นพ้นจากตำแหน่งและ ให้ลาสิกขา (สึก) เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่สังคมสงฆ์และฆราวาส
บทสรุป
การที่เจ้าอาวาสมีพฤติกรรมทำร้ายพระลูกวัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีคำพิพากษาของศาล ถือเป็นความผิดที่ครบถ้วนทั้งสองด้าน คือ ผิดกฎหมายบ้านเมือง และ ผิดพระธรรมวินัย อย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาในคณะสงฆ์สามารถพิจารณาปลดออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและสั่งให้ลาสิกขาจากความเป็นพระได้ทันที เพื่อรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของพระศาสนาและเพื่อมิให้เป็นที่เสื่อมศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
พี่เสือ นักข่าว สงขลา