ข่าวทั่วไปพาดหัวข่าว

อ่างทอง – ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ศาลเจ้าพ่อปู่ปิ่นชอบบนกัญชาสืบทอดมากว่า100ปี

อ่างทอง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ศาลเจ้าพ่อปู่ปิ่นชอบบนกัญชาสืบทอดมากว่า100ปี เป็นที่เคารพยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน หากเดือดเนื้อร้อนใจบนด้วยกัญชาสมหวังดังใจทุกรายไป ไม่พลาดเสี่ยงเซียมซีนำตัวเลขไปเสี่ยงดวง


วันที่ 13 มิ.ย. 68 ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ศาลเจ้าพ่อปู่ปิ่น ชอบบนกัญชา สืบทอดมากว่า 100 ปี จนเป็นที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ ศาลเจ้าพ่อปู่ปิ่น ริมถนนสายสีบัวทอง หมู่ที่ 4 ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ปู่ปิ่น รูปปั้นเท่าขนาดคนจริง สีดำ ตั้งอยู่ภายในศาลทรงไทย ชอบบนกัญชา เป็นที่เคารพยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านในตำบลสีบัวทอง และใกล้เคียง ที่ให้ความเคารพนับถือมานานจากรุ่นสู่รุ่นถึงปัจจุบัน หากชาวบ้านเดือดเนื้อร้อนใจหาที่พึ่งทางใจ ก็จะมาขอความช่วยเหลือ โดยการบนบาน ปู่ปิ่น ด้วยกัญชา จะสมหวังดังใจทุกรายไป ซึ่งภายในศาลาทรงไทยด้านหลัง ปู่ปิ่น จะพบว่ามีบ้องกัญชาวางอยู่ภายในศาลปู่ปิ่นจำนวนหลายบ้อง


จากการสอบถาม นาย สัมพันธ์ น้ำทอง วัย 37 ปี เล่าให้ฟังว่า ปู่ปิ่น เป็นพรานป่าบรรพบุรุษของชาวบ้านตำบลสีบัวทอง หลังจากท่านเสียชีวิตแล้วชาวบ้านได้ทำการปั้นรูปเหมือนของปู่ปิ่นไว้ที่บริเวณศาลาทรงไทย มานานกว่า 100 ปี ชาวบ้านเรียกว่า ศาลเจ้าพ่อปู่ปิ่น ซึ่งตนเองมีความเคารพนับถือ ปู่ปิ่นมาก และได้ทำการบนบานขอความช่วยเหลือมาหลายครั้ง ก็สมหวังดังใจ และไม่พลาดเซียมซี ได้ตัวเลข 21 – 246 ไปเสี่ยงดวง โดยที่ผ่านมานั้น จะทำการบนบานด้วยกัญชา ที่มีเสียงรำลือรู้กันทั้งหมู่บ้านจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ ว่า ปู่ปิ่นชอบกัญชา หากใครบนบานด้วยกัญชาก็จะสมหวังดังใจ ซึ่งสมัยก่อนนั้นหาได้ง่าย และที่บริเวณศาลปู่ปิ่น ยังมีบ่องกัญชาจำนวนหลายบ้องวางอยู่ภายในศาล นอกจากกัญชาที่บนแล้วยังมีสุรา หัวหมู หนังตะลุง ละครชาตรีที่ปู่ปิ่นชอบ


สำหรับประวัติ ศาลปู่ปิ่น ก่อน พ.ศ. 2310 สองริมฝั่งคลองสีบัวทองในอดีต จะมีบ้านเรือนของชาวบ้านสีบัวทองปลูกบ้านเรือนอาศัยกันทั่วไปทั้ง 2 ริมฝั่งแม่น้ำในลำแม่น้ำ ตลอดทั้งวันจะมีคนแจวเรือพายเรือขึ้นล่องไปมาติดต่อค้าขายกันตลอดทั้งวัน ชาวบ้านสีบัวทองและชาวบ้านที่ปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยตลอดสองฝั่งแม่น้ำน้อย อยู่กันอย่างสงบสุขทำนาทำไร่ทำสวน เลี้ยงสัตว์ทำประมงชาวบ้าน ประกอบสัมมาอาชีพกันอย่างสงบสุขมาตลอดชีพ ปู่ ย่า ตา ยาย
ในปี พ.ศ. 2310 พม่านำทหาร เดินทางมาล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทุกด้าน เพื่อรอโอกาสเข้าตีแตกหักพม่าต้องเร่งระดมสรรพกำลังทุกด้านที่รายล้อมกรุงศรีอยุธยา พม่าจึงทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาพร้อมกันทั้ง 4 ด้าน ตลอดทั้งวัน ก็เข้ากรุงไม่ได้พม่าพยายามทุ่มกำลังทหารเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาถึง 3 ครั้ง ก็เข้าตีไม่แตกเพราะความสามัคคีและความเข้มแข็งพม่าจึงจัดส่งทหารลงนั่งเรือพายไปตามลำแม่น้ำลำคลอง เพื่อแย่งชิงปล้นเอาข้าวเปลือกที่อยู่ในยุ้งฉางชาวบ้าน ประชาชนหมดที่พึ่งจากกรุงศรีอยุธยา จึงรวมตัวกันไปสร้างค่ายป้องกันตัวเองที่วัดโพธิ์เก้าต้นแขวงเมืองสิงห์ นำโดย นายแท่น นายเมือง นายอิน และนายโชติ พม่านำกำลังและปืนใหญ่ยิงถล่มเข้าไปในค่าย และถูกคนในค่ายล้มตายไปหลายศพ ชาวค่ายที่เหลือตายพร้อมใจกันคว้ามีดพร้าวิ่งออกมาจากค่ายไปทหารพม่าตายไปหลายศพ ชาวค่ายที่เหลือต่อสู้ขับไล่พม่าจนตัวตายในสนามรบรวมกันหมดทุกคน จนได้ชื่อว่าศึกบางระจัน ตั้งแต่นั้นมาบ้านสีบัวทอง จึงไม่มีคนอยู่อาศัยมานานถึงร้อยปี
และ ปูปิ่นเป็นบรรพบุรุษ ชาวบ้านสีบัวทอง ที่ใช้วิชาความรู้ด้านพรานป่าพัฒนาบ้านสีบัวทอง ที่ล้างมาตั้งแต่เมื่อครั้งเสียกรุงให้กลับฟื้นคืนกลายเป็นหมู่บ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์ สืบมา และเมื่อปู่ปิ่นเสียชีวิตลง ลูกหลานจึงได้สร้างรูปเหมือนปู่ปิ่น เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี ต่อไป