ข่าวทั่วไปพาดหัวข่าว

กู้ชีพ อบต.บางโฉลง พร้อม นักข่าว โร่ช่วยเด็กชาวกระเหรี่ยงวัยสิบขวบหนีออกจากห้องพักย่านบางพลี

กู้ชีพ อบต.บางโฉลง พร้อม นักข่าว โร่ช่วยเด็กชาวกระเหรี่ยงวัยสิบขวบหนีออกจากห้องพักย่านบางพลี

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่กู้ชีพ อบต.บางโฉลง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โยมีถุงเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย และอ้างว่าถูกพ่อบีบคมทำร้ายร่างกายมา ทีมกู้ชีพจึงพร้อมด้วยนักข่าวและสายตรวจ สภ.บางพลี ไปตรวจสอบ


พอเจ้าหน้าที่เดนิทางไปถึงก็พบว่ามีเด็กชายวัย 10 ขวบ ชาวกระเหรี่ยง คนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อจริง จึงมีการเข้าพูดคุยพร้อมทั้งหาอาหารน้ำดื่มและขนมให้น้องได้ทานเพื่อบรรเทาความหิว ซึ่งจากการพูดคุยสอบถามทางด้านตัวเด็กชายรายนี้อ้างว่าสาเหตุที่ต้องหอบเสื้อผ้าหนีอกมาจากห้องพักนั้น เพราะว่าถูกพ่อแท้ๆบีบคอและขู่ว่าจะกลับมาตี จึงหวาดกลัวและตัดสินใจหนีออกมาข้างนอก


เจ้าหน้าที่จึงติดตามตัวมารดาของเด็กมาพูดคุยพร้อมซึ่งมีฝ่ายบุคคลของทางบริษัทที่มารดาเด็กรายนี้ทำงานอยู่เข้ามาเป็นคนกลางช่วยพูดคุยด้วยอีกคน ขณะที่เด็กยังคงร้องไห้และอยู่ในอาการหวาดกลัวว่าจะถูกพ่อทุบตีจนไม่กล้ากลับเข้าไปที่ห้อง โดยยืนยันว่าจะไม่ขอกลับไปอีก เจ้าหน้าที่จึงพาตัวเด็กและมารดาไปยัง สภ.บางพลี พร้อมประสาน เจ้าหน้าที่กองสวัสดิการและสังคมของ อบต.บางโฉลง รวมถึงเจ้าหน้าที่จากบ้านพักเด็กสมุทรปราการ เข้ามาพูดคุยหาทางออกในเรื่องนี้ต่อหน้าสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง


นางสาว ดวง (นามสมมุติ ) อายุ 32 ปี มาราดของเด็ก เปิดใจกับนักข่าวเราว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอาจมาจากความเข้าใจผิดของลูกชายไปเอง ซึ่งตนเองมีลูกสองคนกับสามีคนนี้คบกันอยู่กินกันมากว่าสิบปีแล้ว ที่ผ่านมาลูกชายจะอยู่กับคุณยายที่ประเทศเมียนมา ส่วนตนเองกับสามีก็มาทำงานที่ประเทศไทย จนกระทั่งมีลูกสาวคนเล็กอีกคน และเลี้ยงดูทั้งสองคนมาอย่างดีโดยตลอด หลังจากที่เกิดสงครามที่เมียนมา ซึ่งบ้านพักอยู่ในพื้นที่ของการสู้รบ ด้วยความที่ห่วงความปลอดภัยลูก จึงตัดสินใจไปรับลูกชายมาดูแลที่ห้องพักคนงานของโรงงานย่านบางพลี โดยให้ลูกชายคอยดูแลเลี้ยงดูน้องที่ห้องพัก ส่วนตนเองกับสามีก็ออกไปทำงานตามปกติ ปกติแล้วสามีจะเป็นคนที่รักชายและสนิทสนมกันมากกับกับลูก ยืนยันสามีไม่เคยทำร้ายลูกหรือแม้แต่ตนเองก็ตาม แต่เรื่องที่เกิดขึ้น หน้าจะมาจากความเข้าใจผิดของลูกชาย ที่ถูกคุณพ่อดุเสียงดังจากการที่ทำขวดยาที่น้องต้องทานเป็นประจำแตก และไปหยิบยาทาแผลมาเพื่อจะให้น้องทานแทน ทำให้คุณพ่อต่อว่าน้องด้วยน้ำเสียงที่อาจจะดุดัน อีกทั้งบอกขู่ไว้ว่ากลับมาจากทำงานจะมาจัดการเรื่องนี้ ซึ่งตนเองก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนทำให้ลูกชายหอบเสื้อผ้าหนีออกมาจากห้องในขณะที่พ่อกับแม่ออกไปทำงาน จนกระทั่งมาทราบเรื่องจากเจ้าหน้าที่กู้ชีพก็ตกใจเหมือนกันและรีบไปแจ้งขอลาจากฝ่ายบุคคลเพื่อเดินทางมาหาลูกชาย ซึ่งพอเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นมาก็สงสารลูกรักลูกมากแต่ลูกยืนยันจะไม่กลับไปหาพ่อเพราะไม่เชื่อใจพ่อกลัวว่าพ่อจะทุบตี และหากลูกไม่ยอมกลับก็คงแจ้งความประสงค์ฝากลูกไว้ที่บ้านพักเด็กก่อนชั่วคราว ส่วนตนเองก็คงต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกสาวคนเล็กแทน สาเหตุที่ไม่อยากส่งกลับไปหายายก็เพราะหวั่นเรื่องความปลอดภัยจากการสู้รบที่ยังไม่สงบดี ส่วนประเด็นที่ลูกยังไม่ได้เข้าเรียนนั้นอยู่ในระหว่างทำเรื่องขออนุญาตเข้าเรียนในโรงเรียนที่ประเทศไทย


จากเรื่องดังกล่าวกลายเป็นความสะเทือนใจทั้งเจ้าหน้าที่และนักข่าวเรา นักข่าวจึงตัดสินใจเข้าพูดคุยพร้อมกับโอบกอดเด็กชายคนนี้เพื่อสร้างความไว้วางใจและความอบอุ่นกับเด็กจนกระเด็กเชื่อใจและเปิดใจระบายความในใจกับนักข่าวฟังจนหมดเปลือก นักข่าวเรา จึงต่อสายตรงผ่านทางโทรศัพท์ไปหาฝ่ายพ่อของเด็กเพื่อพูดคุยและให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง กรทั่งได้พูดคุยกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่และนักข่าวรวมถึงมาราดของเด็ก สุดท้ายเด็กยอมใจอ่อนและมีความฝันอยากโตขึ้นเป็นตำรวจหรือทหารเพื่อปกป้องน้องและพ่อแม่รวมถึงคุณยาย จากนั้นจึงมีการจับมือและเกี่ยวก้อยให้คำมั่นสัญญาจะเข้มแข็งเติบโตเป็นเยาวชนที่ดีและจะไม่หนีออกจากบ้านอีก
ด้านเจ้าหน้าที่ พม. ได้เข้าพูดคุยทำความเข้าใจทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง ก่อนจะพาทั้งสองคนกลับห้องพักคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะติดตามการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองอย่างใกล้ชิดและเข้าดูความเป็นอยู่ของครอบครัวเพื่อประเมินความพร้อมและป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์หรือความรุนแรงภายในครอบครัวอีก


************************
ศราวุธ คงสินธ์ / ธนวัต นาคขำ จ.สมุทรปราการ